• 18 Nov 2024
  • พื้นฐาน

วิธีเริ่มลงทุนในฐานะมือใหม่

Cover.png

การลงทุนอาจเป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าสำหรับการสร้างอนาคตที่ดีกว่า มันสามารถเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวยให้คุณได้เมื่อเวลาผ่านไป ช่วยให้คุณได้ทำงานเพื่อที่จะได้มีชีวิตที่คุณฝันไว้สำหรับตัวคุณเองและครอบครัว นั่นคือสิ่งที่ทำให้ไอเดียเรื่องการหาเงินได้แม้ในยามที่คุณนอนหลับน่าสนใจมาก การทำความเข้าใจวิธีการทำงานของการลงทุนนั้นคุ้มค่ากับเวลาของคุณอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผู้เริ่มต้นที่ยังใหม่ต่อโลกแห่งการลงทุนมักจะพบว่าข้อมูลเหล่านั้นโหมกระหน่ำเข้ามามากเหลือเกิน มีตัวเลือกมากมายให้สำรวจ มีคำศัพท์ใหม่ ๆ ให้เรียนรู้ และข้อมูลที่ขัดแย้งกันมากมายให้ค้นหา นอกจากนี้ เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับการเสี่ยงกับเงินของคุณ จึงอาจทำให้เกิดความเครียดได้

การลงทุนนั้นมีความซับซ้อน แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องยากเสมอไป มีการตัดสินใจที่สำคัญบางประการที่คุณต้องทำเพื่อเริ่มต้น เดี๋ยวเรามาแบ่งขั้นตอนเหล่านี้ออกเป็นขั้นตอนที่จัดการได้ง่ายดีกว่า

1. เริ่มลงทุนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

การลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดในการสร้างรากฐานทางการเงินที่มั่นคง การทําเช่นนี้จะทําให้คุณได้รับเงินเพิ่มขึ้นจากรายได้ทบต้น เงินที่คุณได้รับจากการลงทุนของคุณจะเพิ่มพูนมากขึ้นดั่งลูกบอลหิมะที่กลิ้งลงเขาที่เปลี่ยนจากก้อนเล็กเป็นใหญ่ ช่วยให้ยอดเงินในบัญชีของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ตลาดหุ้นหรือตลาดอื่น ๆ ที่คุณจะลงทุนจะต้องมีขึ้นและลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทําให้คุณได้เปรียบเรื่องเวลา ในหลายปีต่อ ๆ ไปข้างหน้า คุณสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดและปล่อยให้การลงทุนของคุณเติบโตต่อไปได้ เริ่มต้นตอนนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงการเริ่มต้นด้วยจํานวนเล็กน้อย แต่ก็สามารถทําให้คุณอยู่บนเส้นทางที่มีแนวโน้มดูดีมีหวังได้ ยิ่งคุณเริ่มเร็วเท่าไร เงินของคุณก็ยิ่งมีเวลาทํางานให้คุณมากขึ้นเท่านั้น

เปิดบัญชีทดลอง

2. ตัดสินใจว่าจะลงทุนเท่าไร

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหลายคนแนะนําให้คุณลงทุนในจำนวนเปอร์เซ็นต์ของรายได้หลังหักภาษีของคุณ — ประมาณ 10% ถึง 25% ของรายได้หลังหักภาษีของคุณ หากการจัดสรรรายได้ต่อเดือนของคุณเพื่อการลงทุนด้วยเงินจำนวนนั้นดูเป็นเรื่องที่น่าท้าทาย ก็อย่าได้ปล่อยให้สิ่งนั้นทำให้คุณท้อแท้สิ้นกำลังใจ บางครั้ง การแบ่งเงินไว้ลงทุนเพียงแค่เล็กน้อยก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม

Mark Henry ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Alloy Wealth Management กล่าวไว้ว่า

หากคุณต้องการเริ่มต้นจากจำนวนน้อย ๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปสู่เป้าหมายนั้น มันก็ไม่เป็นไรเลย สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้น

นี่คือปัจจัยสำคัญบางประการที่ควรพิจารณาขณะที่ตัดสินใจว่าจะลงทุนจำนวนเท่าไร:

  • ตรวจสอบรายได้ต่อเดือนของคุณอย่างละเอียดเพื่อดูว่าคุณเหลือเงินเท่าไรหลังหักออกจากค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแล้ว หากคุณกำลังหาเงินแบบเดือนชนเดือน การโฟกัสที่การเงินเก็บสำรองฉุกเฉินหรือการจ่ายหนี้ก่อนอาจดีกว่า

  • การจัดการหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง อาจเป็นเรื่องที่น่าท้าทายหากไม่มีการวางแผนที่ดี ประเมินจำนวนเงินที่คุณเป็นหนี้และอัตราดอกเบี้ยของหนี้เหล่านั้น พิจารณาว่าคุณสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัยเท่าใดโดยที่ยังคงสามารถชำระหนี้ได้อยู่ เมื่อหนี้ของคุณลดลงแล้ว ให้กลับมาดูที่การจัดสรรเงินลงทุนของคุณอีกครั้ง และค่อยพิจารณาเพิ่มเงินลงทุน

  • เงินสำรองฉุกเฉินมีความสำคัญต่อการจัดการค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดโดยไม่ต้องเป็นหนี้ หากคุณกำลังพยายามเก็บเงินสำรองฉุกเฉินไว้สามถึงหกเดือนสำหรับค่าใช้จ่ายสำคัญ ๆ มันก็อาจเป็นเรื่องฉลาดที่จะเริ่มต้นลงทุนในจำนวนที่น้อย ๆ ในขณะที่คุณสร้างตาข่ายนิรภัยทางการเงินนั้น

เพื่อช่วยคุณจัดการการเงินของคุณในอนาคต คุณอาจพิจารณากฎบริหารเงิน 50/30/20 วิธีนี้แบ่งเงินรายเดือนของคุณออกเป็นสามส่วน ได้แก่ 50% สำหรับสิ่งที่มีความจำเป็น, 30% สำหรับสิ่งที่ตอบสนองความต้องการ และ 20% ที่เหลือสำหรับการชำระหนี้ การออมเงิน และการลงทุน

3. เปิดบัญชีลงทุน

เมื่อผู้คนพูดถึงการซื้อขายหุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ พวกเขามักจะหมายถึงการใช้บัญชีโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ สำหรับคนส่วนใหญ่ บัญชีโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์เป็นบัญชีหลักสำหรับการลงทุน สรุปสั้น ๆ ถึงสิ่งที่คุณต้องรู้:

  • ข้อดี: มีความยืดหยุ่น

หากคุณอายุ 18 ปีขึ้นไป คุณสามารถเปิดบัญชีเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย คุณมีอิสระที่จะฝากเงินได้มากเท่าที่คุณต้องการ ทุกเมื่อที่คุณต้องการ และคุณสามารถเลือกจากตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถถอนเงินสดได้ทุกเมื่อที่ต้องการอีกด้วย

  • ข้อเสีย: ภาษี

แม้ว่าจะเปิดบัญชีโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ได้ง่าย แต่ก็มีผลกระทบด้านภาษีด้วย โดยทั่วไปคุณจะต้องจ่ายภาษีสำหรับกำไรจากการลงทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละปี รวมถึงกำไรจากการขายสิ่งที่ลงทุนหรือรับเงินปันผล

ทำไมถึงต้องพิจารณา? บัญชีโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ได้รับความนิยมจากความสะดวกและคล่องตัว ทำให้คุณสามารถลงทุนและซื้อขายตัวเลือกต่าง ๆ มากมายในขณะที่คุณทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินหรือเพียงแค่สร้างความมั่งคั่งสำหรับอนาคตเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาเป็นตัวเลือกที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่ต้องการดำดิ่งสู่โลกแห่งการลงทุน หากคุณพบบัญชีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและมียอดคงเหลือต่ำ การเปิดบัญชีโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์อาจเป็นการกระทำที่ฉลาด

4. เลือกกลยุทธ์การลงทุน

กลยุทธ์การลงทุนของคุณควรสะท้อนถึงเป้าหมายการออมของคุณ จำนวนเงินที่คุณต้องใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น และระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมาย

หากเป้าหมายการออมของคุณอยู่ไกลออกไปหลายปี คุณก็สามารถลงทุนเงินส่วนใหญ่ในหุ้นได้ ด้วยระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ คุณมีโอกาสที่จะรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นแต่ละตัวอาจมีความซับซ้อนและมีความต้องการสูง สำหรับบางคน การลงทุนในดัชนีจะเหมาะมากกว่า เพราะมันเสนอวิธีการเข้าถึงตลาดในวงกว้างด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและความซับซ้อนน้อยกว่า

ในทางกลับกัน หากคุณจัดสรรเงินไว้สำหรับบางสิ่งบางอย่างในอนาคตอันใกล้นี้ เช่น เงินดาวน์บ้านหรือวันหยุดพักผ่อนภายในห้าปีข้างหน้า การระมัดระวังให้มากก็เป็นเรื่องที่ดี เราจะมาสำรวจกลยุทธ์เฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับกลุ่มต่าง ๆ ภายหลังในบทความนี้

5. ทำความเข้าใจกับตัวเลือกการลงทุนของคุณ

1.png

เมื่อคุณกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของคุณแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตัดสินใจว่าจะลงทุนในอะไร การลงทุนแต่ละครั้งมาพร้อมกับความเสี่ยงในตัวมันเอง ดังนั้นคุณควรเข้าใจรายละเอียด ความเสี่ยงที่คุณรับได้ และดูว่าสิ่งนั้นตรงกับวัตถุประสงค์ทางการเงินของคุณหรือไม่ นี่คือตัวเลือกการลงทุนยอดนิยมบางส่วน:

หุ้น

หุ้น (stocks) เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเจ้าของในบริษัท หรือเรียกอีกอย่างว่าส่วนของผู้ถือหุ้น (equities) คุณซื้อหุ้นในราคาหุ้น ซึ่งมีตั้งแต่ไม่กี่ดอลลาร์ไปจนถึงหลายพันดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับมูลค่าตลาดของบริษัท ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ในระดับต่าง ๆ และทำให้นักลงทุนทั้งผู้ที่เป็นมือใหม่และมีประสบการณ์สามารถเข้าถึงได้

หุ้นถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดโดยพิจารณาจากผลตอบแทนในอดีต ซึ่งมักจะทำได้ดีกว่าตัวเลือกอื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้

ตราสารหนี้

ตราสารหนี้ (bond) คือ เงินที่คุณให้กู้แก่บริษัทหรือรัฐบาล ซึ่งตกลงที่จะจ่ายคืนให้คุณหลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งพร้อมดอกเบี้ย โดยทั่วไปแล้ว ตราสารหนี้จะถูกมองว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เพราะว่าคุณทราบแน่นอนว่าจะได้รับเงินคืนเมื่อใดและดอกเบี้ยที่คุณจะได้รับเป็นเท่าไร อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้สามารถจำกัดศักยภาพในการเติบโตโดยรวมของคุณได้ หากคุณต้องการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต

กองทุนรวม

กองทุนรวม (Mutual funds) เป็นแหล่งลงทุนที่ถูกคัดสรรมาอย่างดี ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความจำเป็นในการเลือกหุ้นและพันธบัตรแต่ละรายการ และมอบพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายให้กับคุณในการซื้อที่สะดวกสบายในครั้งเดียว กองทุนรวมบางแห่งมีผู้จัดการมืออาชีพที่ทำหน้าที่ตัดสินใจลงทุน นอกจากนี้ยังมีกองทุนดัชนีที่ลงทุนตามผลการดำเนินงานของดัชนีตลาดหุ้น เช่น S&P 500 โดยไม่มีการจัดการเชิงรุก ข้อเสียคือคุณควบคุมการลงทุนเฉพาะเจาะจงภายในกองทุนได้น้อยลง

กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)

ETF มีความคล้ายคลึงกับกองทุนรวมโดยรวมการลงทุนหลายรายการเข้าด้วยกัน ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ETF สามารถซื้อและขายได้ตลอดทั้งวัน เช่นเดียวกับหุ้นแต่ละตัว ซึ่งมักหมายความว่า ETF มีราคาต่ำกว่ากองทุนรวม ในทางกลับกัน พวกมันอาจมีความผันผวนของตลาดตลอดทั้งวัน

กลยุทธ์การลงทุน

2.png

กลยุทธ์การลงทุน คือ แผนงานทางการเงินของคุณ มันจะสรุปสิ่งที่คุณวางแผนจะลงทุน จำนวนเงินที่คุณจะลงทุน และเวลาที่คุณคาดว่าจะขายการลงทุนเหล่านั้น

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่ามันไม่มีกลยุทธ์ใดที่เหมาะกับทุกคน นักลงทุนแต่ละรายมีเป้าหมายและความสนใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นการกำหนดแนวทางที่เหมาะสมสำหรับคุณจึงเกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการ:

  • อายุ — คุณต้องลงทุนแบบระมัดระวังเพราะใกล้จะเกษียณแล้ว หรือคุณมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเสี่ยงกับการเติบโตที่อาจเกิดขึ้นในฐานะนักลงทุนอายุน้อยใช่หรือเปล่า?
  • การพึ่งพา — คุณมีสมาชิกในครอบครัวหรือลูก ๆ ที่พึ่งพาคุณทางการเงินหรือไม่?
  • เป้าหมาย — เป้าหมายการลงทุนเฉพาะของคุณคืออะไร? ออมเพื่อวัยเกษียณ บ้าน การศึกษา หรืออย่างอื่น?
  • ไลฟ์สไตล์ - คุณอยากมีรายได้หลังหักภาษีที่สามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยได้จริงจากการลงทุนเท่าไร?
  • สถานการณ์ทางการเงิน — คุณสามารถจัดสรรเงินไว้ลงทุนตามความเป็นจริงได้เท่าไร โดยที่ไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายรายวันตึงเกินไป?
  • ผลตอบแทนที่คาดหวัง — คุณตั้งใจที่จะรอดูผลตอบแทนจากการลงทุนของคุณนานแค่ไหน?

เมื่อคำนึงถึงข้อควรพิจารณาเหล่านี้แล้ว เรามาสำรวจกลยุทธ์การลงทุนทั่วไปเพื่อนำทางคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินกัน:

การลงทุนเชิงรุก vs. การลงทุนเชิงรับ

การลงทุนเชิงรุก หรือ การลงทุนแบบแอ็กทีฟ เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสินทรัพย์ เช่น หุ้นหรือพันธบัตรเป็นประจำ เพื่อพยายามสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าตลาด กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการจับตาดูแนวโน้มของตลาดและความตั้งใจที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หากคุณชอบเจาะลึกการวิเคราะห์ตลาดและอยากคว้าโอกาสดี ๆ ไว้เมื่อสบโอกาส การลงทุนเชิงรุกอาจเหมาะกับคุณ

ในทางตรงกันข้าม การลงทุนแบบพาสซีฟ หรือการลงทุนเชิงรับจะใช้แนวทางที่ผ่อนคลายมากกว่า แนวทางนี้ คุณจะลงทุนในดัชนีหรือพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายซึ่งติดตามตลาดโดยรวม กลยุทธ์นี้ต้องการความสนใจรายวันที่น้อยลง และได้รับการออกแบบมาเพื่อทำให้การลงทุนของคุณงอกเงยเมื่อเวลาผ่านไปโดยมีการจัดการเพียงเล็กน้อย

เทรดเลย

การลงทุนที่เน้นการเติบโต vs. การลงทุนที่เน้นคุณค่า

การลงทุนที่เน้นการเติบโตมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่คาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าตลาดโดยรวม สิ่งเหล่านี้มักพบในภาคส่วนนวัตกรรม เช่น เทคโนโลยีและพลังงานหมุนเวียน โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนในประเภทนี้จะไม่ได้รับเงินปันผล เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักจะนำกำไรที่ได้ไปลงทุนใหม่เพื่อกระตุ้นการเติบโต ความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลตอบแทนสูงนั้นน่าดึงดูด แต่กลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงมากกว่า เนื่องจากขึ้นอยู่กับความคาดหวังในอนาคตมากกว่าผลการดำเนินงานทางการเงินในปัจจุบัน ดังนั้นแนวทางนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่สามารถทนต่อการขึ้นลงของตลาดได้

ในทางกลับกัน การลงทุนที่เน้นคุณค่าเกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้นที่คุณเชื่อว่าตลาดประเมินมูลค่าต่ำเกินไป คิดเสียว่าเป็นการมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาต่ำ นักลงทุนสายเน้นคุณค่าจะมองหาบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งแต่อาจประสบกับความล้มเหลวที่ส่งผลต่อราคาหุ้นของตน กลยุทธ์นี้มีแนวโน้มที่จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนที่เน้นการเติบโต ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับนักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมที่มองหาความมั่นคง

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA)

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-cost averaging: DCA) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยคุณจะลงทุนเป็นจำนวนคงที่ในช่วงเวลาสม่ำเสมอ เช่น $500 ทุกเดือน โดยไม่คำนึงถึงสภาวะตลาด วิธีนี้ช่วยลดความเครียดในการพยายามจับจังหวะในการลงทุนของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการกระจายการเข้าลงทุนแบบนี้ คุณสามารถลดผลกระทบของความผันผวนของตลาดต่อการลงทุนโดยรวมของคุณได้ เพียงจำไว้ว่ามันสามารถนำไปสู่ต้นทุนทางทำธุรกรรมที่สูงขึ้นได้

วิธีสร้างพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย

3.png

การสร้างพอร์ตการลงทุนไม่ใช่แค่การนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เพียงไม่กี่อย่างและหวังสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น เคล็ดลับสำคัญสี่ประการในการสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ครบครัน มีดังนี้

เปิดรับการลงทุนที่หลากหลาย

เริ่มต้นด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งของประเภทสินทรัพย์ที่หลากหลาย หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และมุ่งเป้าไปที่สินทรัพย์ที่ไม่เคลื่อนไหวไปตามกันแทน

ตัวอย่างเช่น คุณสามารถลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเช่น Microsoft และ Apple คู่ไปกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและทองคำ แม้ว่าตลาดเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กัน แต่โดยทั่วไปแล้วราคาน้ำมันหรือทองคำที่ลดลงจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อหุ้นเทคโนโลยี หากการลงทุนสองรายการดูคล้ายกันเกินไป ให้พิจารณาทางเลือกอื่น

จับตาดูต้นทุนและค่าธรรมเนียม

คุณไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์เท่านั้น ต้องดูถึงการลงทุนทั้งหมดและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ด้วย กฎที่ดีคือการหลีกเลี่ยงการลงทุนด้วยเงินที่คุณไม่สามารถสูญเสียได้

เมื่อคุณรู้ว่าคุณสามารถลงทุนได้เท่าไร ก็ให้ตัดสินใจว่าจะกระจายเงินนั้นไปยังตลาดต่าง ๆ ยังไงบ้าง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถแบ่งเงิน 50% ไปลงหุ้น, 30% ไปลงสินค้าโภคภัณฑ์และ 20% ไปลง Forex เปอร์เซ็นต์เหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อเส้นทางการลงทุนของคุณดำเนินไป

พยายามมีส่วนร่วมอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ

แม้ว่าการลงทุนระยะยาวจะมีความสำคัญ แต่อย่าเพิ่งเปิดคำสั่งซื้อขายและลืมมันไป การละเลยพอร์ตการลงทุนของคุณหมายถึงการพลาดโอกาสและความสูญเสีย หากสินทรัพย์ใดที่ทำกำไรได้ดี คุณก็ควรพิจารณาเพิ่มการลงทุนของคุณ หากสินทรัพย์ใดที่ผลประกอบการไม่ค่อยดี ก็อย่าลังเลที่จะขายมันไป

ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงในฐานะมือใหม่

ผู้เริ่มต้นมักจะทำผิดพลาดเหมือน ๆ กัน ดังนั้น หากสิ่งเหล่านี้ดูคุ้นเคย อาจถึงเวลาที่คุณจะต้องคิดทบทวนแนวทางการลงทุนของคุณใหม่แล้ว

  • ความคาดหวังที่ไม่ตั้งอยู่บนความจริง — สร้างพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายโดยพิจารณาจากการยอมรับความเสี่ยงและเป้าหมายของคุณ อย่าปล่อยให้ประสบการณ์ของคนอื่นมากำหนดความคาดหวังของคุณ เนื่องจากผลตอบแทนของตลาดเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้

  • การลงทุนมากเกินไป — ความอดทนเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุน การเปลี่ยนแปลงพอร์ตโฟลิโอของคุณบ่อย ๆ อาจทำให้เพิ่มต้นทุนและความเสี่ยง มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันที่คุณถืออยู่แทนที่จะตอบสนองมากเกินไป

  • โดนล้างสมองจากสื่อต่าง ๆ — อย่าปล่อยให้พาดหัวข่าวที่ชวนตระหนกมากำหนดการตัดสินใจของคุณ ทำการวิจัยอย่างละเอียดจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพื่อประกอบการลงทุนของคุณ

  • ไล่ตามผลตอบแทนที่สูง — การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงอาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจ แต่โปรดจำไว้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้การันตีถึงผลลัพธ์ในอนาคต จงมุ่งเน้นไปที่ภาพรวมและการบริหารความเสี่ยง

  • พยายามจับจังหวะตลาด — การจับจังหวะของตลาดเป็นสิ่งที่ท้าทายและมักจะไม่มีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอในพอร์ตโฟลิโอของคุณมักจะมีประโยชน์มากกว่าการพยายามทำนายความเคลื่อนไหวของตลาด

  • ลืมเรื่องเงินเฟ้อ — ประเมินผลตอบแทนตามความเป็นจริง โดยพิจารณาถึงผลกระทบของเงินเฟ้อ สิ่งที่คุณสามารถซื้อได้จริงด้วยกำไรจากการลงทุนมีความสำคัญมากกว่าผลตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ

  • ล้มเหลวในการเริ่มต้นหรือลงทุนต่อไป — อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือการขาดความรู้มาขัดขวางคุณจากการลงทุน ผู้ที่เก่งที่สุดยอมรับว่าความสำเร็จต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องและความตั้งใจที่จะเรียนรู้

เคล็ดลับการลงทุนระยะยาว

4.png

โดยสรุป เรามาดูเคล็ดลับที่มีประโยชน์ที่สุดบางประการที่นักลงทุนระยะยาวสามารถปฏิบัติตามได้ แนวทางทั่วไปเหล่านี้ สามารถช่วยทุกคนได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่จุดไหนในเส้นทางการลงทุน:

  • ลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจ — เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมและบริษัทที่คุณคุ้นเคย สิ่งนี้ช่วยให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจ รวมทั้งช่วยให้คุณมั่นใจมากขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวน

  • ขาดทุนต้องตัด กำไรต้องเก็บ — ทำความเข้าใจว่าไม่มีการรับประกันว่าหุ้นจะฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลง การตัดการลงทุนที่ผลดำเนินการแย่ออกไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาดเพื่อป้องกันการสูญเสียเพิ่มเติม

  • อย่าไล่ทำตามคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้น — จงสงสัยในคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นที่ได้รับ ไม่ว่าจะได้มาจากที่ไหนก็ตาม ควรหาข้อมูลด้วยตัวคุณเองก่อนที่จะลงทุนเงินของคุณ เคล็ดลับบางอย่างอาจใช้ได้ แต่ความสำเร็จในระยะยาวที่แท้จริงต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างละเอียด

  • ระมัดระวังหุ้นจิ๋ว — หุ้นราคาต่ำอาจดูปลอดภัยกว่า แต่การสูญเสียเงินกับหุ้นไป 5 ดอลลาร์ให้ความรู้สึกเหมือนสูญเสียเงินกับหุ้นไป 75 ดอลลาร์ ทั้งคู่ล้วนแสดงถึงการสูญเสียทั้งสิ้น ในความเป็นจริง หุ้นจิ๋วมักจะมีความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากมีกฎระเบียบน้อยกว่าและมีความผันผวนสูงกว่า

  • ติดตามข่าวสารอยู่เสมอ แต่ก็อย่าให้มันมากเกินกว่าที่คุณรับไหว — การติดตามข่าวสารและแนวโน้มของตลาดเป็นสิ่งสำคัญ แต่หลีกเลี่ยงการจมดิ่งอยู่ในข้อมูลกองโต มุ่งเน้นไปที่แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และกรองสิ่งรบกวนที่ทำให้คุณไม่เข้าใจออกไป คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ

  • เปิดใจให้กว้าง — บริษัทที่มีชื่อเสียงมักจะเป็นการลงทุนที่ดี แต่อย่ามองข้ามบริษัทขนาดเล็กที่อาจมีศักยภาพดี

หวังว่าคู่มือนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีเริ่มลงทุนนะ ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการนำความรู้นั้นไปลงมือปฏิบัติจริง!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

การลงทุนคืออะไร และทำไมใดฉันจึงควรลงทุน?

การลงทุน หมายถึง การนำเงินของคุณไปทำงานเพื่อให้มันเติบโตเมื่อเวลาผ่านไปและช่วยให้คุณสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงได้ แม้ว่าการถือเงินสดหรือการออมเงินในธนาคารจะปลอดภัย แต่การลงทุนจะช่วยให้เงินของคุณเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้นผ่านกำไรทบต้นและกำไรระยะยาว

ฉันต้องใช้เงินเท่าไรในการเริ่มลงทุน?

จำนวนเงินที่คุณเริ่มต้นขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ประเภทการลงทุน และความรู้สึกสบายใจของคุณ แต่โดยทั่วไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนโตในการเริ่มลงทุน ที่ FBS ผู้เริ่มต้นหรือมือใหม่สามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินฝากเริ่มต้นขั้นต่ำเพียง $5 นอกจากนี้ ด้วยตัวเลือกเลเวอเรจ คุณสามารถทวีคูณเงินฝากนั้นได้อย่างมาก

อายุเท่าไรที่ดีที่สุดที่จะเริ่มลงทุน?

เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ยิ่งคุณเริ่มเร็วเท่าไร เงินของคุณก็จะยิ่งมีเวลาเติบโตมากขึ้นเท่านั้น ตามหลักการแล้ว คุณต้องการเริ่มต้นตั้งแต่เด็กเพื่อรับความเสี่ยงและพัฒนานิสัยทางการเงินที่ดี ท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มลงทุนก็คือตอนนี้

ฉันจะกำหนดระดับความเสี่ยงที่ฉันยอมรับได้ได้อย่างไร?

ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของคุณ กำหนดเป้าหมายการลงทุน และประเมินความเข้าใจในการลงทุนของคุณ พิจารณาว่าคุณสบายใจแค่ไหนกับความผันผวนของตลาดและความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น หากต้องการเปอร์เซ็นต์ที่เฉพาะเจาะจงและข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า ให้พิจารณาใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงออนไลน์

มือใหม่อย่างฉันควรลงทุนในหุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวมดี?

มือใหม่อาจต้องการมุ่งเน้นไปที่หุ้นเพราะหุ้นมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แถมยังน่าตื่นเต้นและช่วยให้คุณเป็นเจ้าของหุ้นในบริษัทที่คุณเชื่อมั่นได้ โปรดจำไว้ว่าพวกมันมีความผันผวนมากกว่าและมีความเสี่ยงมากกว่า ดังนั้นให้เริ่มจากหุ้นที่ทำการศึกษาค้นคว้ามาอย่างดีสองสามตัว

ฉันจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายได้ยังไง?

เลือกประเภทสินทรัพย์ที่หลากหลาย ประกอบด้วย หุ้น ดัชนี ฟอเร็กซ์ และสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ภายในสินทรัพย์แต่ละประเภท ให้เลือกการลงทุนที่หลากหลาย เช่น ลงทุนหุ้นในภาคส่วนที่แตกต่างกัน ตรวจสอบและปรับพอร์ตโฟลิโอของคุณอยู่เป็นประจำเพื่อรักษาสัดส่วนของสินทรัพย์ในอุดมคติของคุณไว้ได้เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลง

Robo-Advisor คืออะไร และทำงานอย่างไร?

Robo-Advisors เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนอัตโนมัติที่สร้างและจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณโดยใช้อัลกอริธึม คุณตอบคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ แล้วคำถามเหล่านั้นจะสร้างพอร์ตโฟลิโอส่วนบุคคลสำหรับคุณ

อย่างไรก็ตาม มันต่างกับ Expert Advisor ตรงที่ Robo-Advisor ไม่ได้สอนหรืออธิบายแนวคิดการลงทุน นั่นหมายความว่าคุณจะพลาดข้อมูลเชิงลึกทางการศึกษาและเคล็ดลับการซื้อขายที่ช่วยให้คุณเข้าใจตลาดและตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนด้วยตนเอง

ฉันควรใช้เงินจากรายได้ของฉันเท่าไรในการลงทุน?

มันขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ค่าใช้จ่าย และสถานการณ์ส่วนตัวของคุณ แนวทางทั่วไปคือการตั้งเป้าไว้ที่ 10% ของรายได้ แต่ถ้าคุณสามารถลงทุนได้มากขึ้นโดยไม่ส่งผลกระทบกับความต้องการที่สำคัญของคุณ มันก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก ลองเริ่มต้นด้วยจำนวนเงินเล็กน้อยที่คุณรู้สึกว่าจัดการได้ และเมื่อสถานการณ์ทางการเงินของคุณดีขึ้น ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนคืออะไรและจะช่วยฉันได้อย่างไร?

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) คือ การลงทุนในจำนวนเงินที่กำหนดตามตารางเวลาที่กำหนดเป็นประจำไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร มันได้รับการออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบของความผันผวนของตลาด คุณจะซื้อได้มากขึ้นเมื่อราคาต่ำ และจะซื้อได้น้อยลงเมื่อราคาสูง แม้จะมีข้อเสียบางประการ เช่น มีความเป็นไปได้ที่จะพลาดโอกาสดี ๆ แต่คุณก็ได้หลีกเลี่ยงความเครียดในการพยายามที่จะจับจังหวะของตลาดและส่งเสริมการลงทุนที่มีวินัย

ฉันจะเลือกกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมได้อย่างไร?

พิจารณากรอบเวลาของคุณ — ระยะเวลาที่คุณวางแผนจะลงทุนก่อนที่จะต้องการใช้เงินทุนของคุณ — เนื่องจากขอบเขตที่ยาวกว่าจะทำให้ใช้กลยุทธ์เชิงรุกได้มากขึ้น ประเมินความรู้และประสบการณ์ของคุณกับประเภทการลงทุนที่แตกต่างกัน และลองศึกษากลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การลงทุนแบบเน้นการเติบโต การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือการลงทุนเชิงรับ/เชิงรุก เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์และที่ทำให้คุณพอใจ

ลงทะเบียนเลย

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ: