FBS ก้าวเข้าสู่ปีที่ 16

ปลดล็อกของรางวัลวันเกิด: ตั้งแต่แก็ดเจ็ตและรถในฝันไปจนถึงทริป VIPเรียนรู้เพิ่มเติม

28 เม.ย. 2025

พื้นฐาน

ประเภทของบัญชีการลงทุน: เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด

MDP-8112_1_cover_1200x675_TH.png

การออมเงินเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงสำหรับทุกคน การลงทุนเป็นวิธีที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มพูนเงินต้นของคุณได้อย่างต่อเนื่อง แต่คุณจะเลือกตราสารทางการเงินที่เหมาะกับความต้องการของคุณได้อย่างไร? ในบทความนี้ เราจะแบ่งประเภทหลักของบัญชีลงทุนเพื่อให้คุณสามารถเลือกบัญชีที่สอดคล้องกับเป้าหมายของคุณได้

บัญชีลงทุนคืออะไร?

บัญชีลงทุนคือบัญชีทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อและถือครองการลงทุนต่าง ๆ เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุน ETF กองทุนรวม และสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างจากบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปที่เก็บเงินสดและได้รับดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย บัญชีลงทุนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับคุณในระยะยาว

แล้วมันทำงานอย่างไร? การลงทุนทำให้เงินของคุณทำงานแทนคุณโดยสร้างผลตอบแทนผ่านดอกเบี้ย เงินปันผล การเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ และกำไรจากส่วนต่างราคา เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้จะนำไปสู่การสะสมความมั่งคั่งอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้คุณมีความมั่นคงทางการเงินและช่วยให้บรรลุเป้าหมายชีวิต เช่น การเกษียณอายุ การซื้อบ้าน หรือการสนับสนุนการศึกษาของลูก ๆ

เคยลองลงทุนกับ FBS มาก่อนหรือยัง? อย่าพลาดโอกาสนี้ ลงทะเบียนตอนนี้เลย!

ประเภทต่าง ๆ ของบัญชีการลงทุน

บัญชีที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี

บัญชีที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเหมาะสำหรับการออมระยะยาว เพราะให้ประโยชน์ทางภาษีบางอย่าง บัญชีที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีมีหลายปรเภทที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกัน

บัญชีเกษียณอายุ เหมาะสำหรับการออมเพื่อวัยเกษียณพร้อมกับได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี:

  • 401(k) (ในสหรัฐอเมริกา) เป็นแผนที่บริษัทจัดให้ โดยคุณจะจ่ายภาษีเมื่อถอนเงินในภายหลัง (เงินสมทบสามารถลดหย่อนภาษีได้) บางครั้งนายจ้างอาจสมทบเงินเพิ่มให้ ซึ่งเหมือนได้เงินฟรี

  • Traditional IRA หรือบัญชีเกษียณอายุส่วนบุคคล (ในสหรัฐอเมริกา) เป็นบัญชีเกษียณอายุส่วนบุคคลที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • Roth IRA (ในสหรัฐอเมริกา) อนุญาตให้ถอนเงินได้โดยไม่ต้องเสียภาษีเมื่อเกษียณ ในขณะที่เงินสมทบมาจากเงินหลังหักภาษีแล้ว

  • TFSA หรือบัญชีออมทรัพย์ปลอดภาษี (ในแคนาดา) เป็นบัญชีที่เงินลงทุนเติบโตและถอนได้โดยไม่ต้องเสียภาษี

  • RRSP หรือแผนออมทรัพย์เพื่อการเกษียณอายุแบบจดทะเบียน (ในแคนาดา) เป็นบัญชีที่เงินสมทบสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ต้องเสียภาษีเมื่อถอนเงิน

บัญชีออมทรัพย์เพื่อการศึกษา ช่วยให้ครอบครัวออมเงินเพื่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา:

  • 529 Plan (ในสหรัฐอเมริกา) เป็นแผนที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับออมเพื่อการศึกษา ออกแบบมาเพื่อค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก

  • บัญชีออมทรัพย์เพื่อการศึกษา หรือ ESA (ในสหรัฐอเมริกา) อนุญาตให้เงินลงทุนเติบโตโดยไม่ต้องเสียภาษีเมื่อใช้เพื่อการศึกษา

บัญชีลงทุนที่ต้องเสียภาษี

บัญชีลงทุนที่ต้องเสียภาษีไม่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและมีข้อจำกัดน้อยกว่า

ตัวอย่างเช่น บัญชีโบรกเกอร์ คุณสามารถลงทุนได้ไม่จำกัดในหุ้น พันธบัตร กองทุน ETF กองทุนรวม และหลักทรัพย์อื่น ๆ บัญชีเหล่านี้เปิดให้บริการผ่านโบรกเกอร์ส่วนบุคคลหรือโบรกเกอร์ออนไลน์ หรือคุณสามารถใช้ โรโบ-แอดไวเซอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้อัลกอริธึมในการลงทุนแทนคุณ

บัญชีลงทุนแบบมีผู้จัดการ

หากคุณยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการลงทุนและต้องการคำแนะนำ บัญชีลงทุนแบบมีผู้จัดการอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

  • โรโบ-แอดไวเซอร์ ให้บริการลงทุนอัตโนมัติสำหรับผู้เริ่มต้นที่ชอบการลงทุนแบบไม่ต้องยุ่งยาก ในการเลือกโรโบ-แอดไวเซอร์ ควรตรวจสอบค่าธรรมเนียมการจัดการ อัตราค่าใช้จ่าย และการเข้าถึงผู้ให้คำปรึกษาที่เป็นมนุษย์

  • บัญชีการจัดการความมั่งคั่งถูกออกแบบมาสำหรับบุคคลที่มีฐานะการเงินสูง ที่ปรึกษาการเงินมืออาชีพจะจัดการพอร์ตการงทุนที่เหมาะกับความต้องการของคุณ รวมถึงการวางแผนภาษีและการจัดการมรดก

บัญชีเฉพาะทาง

บัญชีเฉพาะทางเหมาะสำหรับผู้ที่มีเป้าหมายอื่นนอกเหนือจากการลงทุนมาตรฐาน ตัวอย่างเช่น:

  • บัญชีทรัสต์ ใช้สำหรับการวางแผนมรดกและการโอนความมั่งคั่ง มันเป็นเครื่องมือที่ดีในการจัดการและปกป้องทรัพย์สินสำหรับผู้รับประโยชน์

  • บัญชีลงทุนสำหรับธุรกิจ เหมาะสำหรับบริษัทหรือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องเงินสด การลงทุนอาจรวมถึงพันธบัตร หุ้น และหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ

การเทรดทำกำไรได้มากกว่าแค่การออม: เริ่มต้นตอนนี้กับ FBS!

ผลิตภัณฑ์การลงทุนยอดนิยม: คู่มือฉบับย่อ

โลกของการลงทุนมีตัวเลือกมากมาย ทำให้ทุกคนสามารถเลือกสินทรัพย์ที่ตรงกับเป้าหมายทางการเงินของตัวเองได้

หุ้นและ ETF: ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็สูง

เมื่อเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น คุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นและสามารถซื้อ ขาย หรือถือครองหุ้นรวมถึงหลักทรัพย์อื่น ๆ เช่น ETF (กองทุนรวมซื้อขายในตลาด) กองทุนรวม พันธบัตร และออปชัน บัญชีนี้ช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดหุ้นเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งผ่านการซื้อขายหรือลงทุนได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็มาพร้อมกับโอกาสได้กำไรสูง เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนมาก

Exchange-traded funds หรือ ETFs เป็นเหมือนกับตะกร้าหุ้นที่รวมการลงทุนไว้ในหนึ่งเดียว คุณสามารถซื้อ ETF เดียวที่ติดตามดัชนี กลุ่ม หรือตลาดได้ ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงและลดโอกาสขาดทุน ตัวอย่างเช่น ETF ที่ติดตามดัชนี S&P 500 (เช่น SPY หรือ VOO) จะรวมหุ้นบริษัทใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อย่าง Apple, Microsoft และ Tesla โดยทั่วไป ETF มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นทั่วไปและสามารถซื้อขายได้ในเวลาตลาด

กองทุนรวม: ลงทุนระยะยาวแบบไม่ต้องเหนื่อย

กองทุนรวมถูกจัดการโดยมืออาชีพ ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักลงทุนระดับโปรก็ถือครองได้ โดยไม่เหมือน ETF ที่ติดตามดัชนี ผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้เลือกหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ลงในพอร์ต ตัวอย่างเช่น Fidelity Contrafund (FCNTX) และ Vanguard Total Stock Market Index Fund (VTSAX) ที่เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงและการลงทุนระยะยาว

อีกจุดเด่นของกองทุนรวมคือ ไม่มีการซื้อขายในตลาดเหมือนหุ้นหรือ ETF และมีการประเมินมูลค่าที่สิ้นวันเทรด กองทุนรวมและ ETF สามารถติดตามดัชนีต่าง ๆ เช่น S&P 500 หรือ Dow Jones หรืออาจถูกจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญก็ได้

พันธบัตร: รายได้แน่นอนเพื่อความมั่นคง

การซื้อพันธบัตรคือการให้ยืมเงินในระยะเวลาที่กำหนด (อายุพันธบัตร) เพื่อรับดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนด คุณจะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย พันธบัตรมีหลายประเภท เช่น:

  • พันธบัตรรัฐบาล เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (เหมาะกับนักลงทุนที่ระมัดระวังและมองยาว)

  • พันธบัตรบริษัท เช่น Apple, Microsoft ฯลฯ (มีความเสี่ยงมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลเล็กน้อย)

พันธบัตรเป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ให้ความมั่นคงและคาดเดาได้ ซึ่งจะทำให้คุณได้รับกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอ โดยทั่วไปแล้ว พันธบัตรถือว่าปลอดภัยกว่าหุ้น แต่ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า คุณสามารถใช้พันธบัตรเพื่อชดเชยการลงทุนที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น ได้ คุณสามารถลงทุนในพันธบัตรผ่านบัญชีการลงทุน หรือซื้อโดยตรงจากผู้ออกพันธบัตรก็ได้เช่นกัน

การลงทุนใดที่เหมาะสมกับคุณ?

ถ้าคุณมองหาการเติบโตสูง ให้ลองพิจารณาหุ้นและ ETFs แต่หากคุณชอบการลงทุนแบบง่าย ๆ กองทุนรวมอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ส่วนผู้ที่กำลังมองหาความปลอดภัยและรายได้ที่มั่นคง ลองพิจารณาพันธบัตรหรือการลงทุนแบบตราสารหนี้

นักลงทุนมืออาชีพมักผสมผสานทั้งสามแบบเพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน กลยุทธ์ที่นิยมและทำกำไรได้ดีคือการลงทุนในหุ้นและ ETFs เพื่อการเติบโต กองทุนรวมเพื่อการจัดการโดยมืออาชีพ และพันธบัตรเพื่อความมั่นคง

FBS พร้อมเปิดประตูสู่การเทรดอย่างปลอดภัย — เริ่มต้นการเดินทางของคุณตอนนี้เลย!

ทางเลือกการลงทุนสำหรับงบประมาณน้อย

หลายคนคิดว่าการลงทุนต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่จริง ๆ แล้วคุณสามารถเริ่มสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยเงินเพียง 50 ดอลลาร์ มาดูกันว่ามีทางเลือกอะไรบ้างที่เหมาะกับงบประมาณที่จำกัด

  1. กองทุน ETF ต้นทุนต่ำและกองทุนรวม

    ช่วยลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท โดยบางกองทุน เช่น กองทุนแบบ Zero-cost ของ Fidelity มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า 10 ดอลลาร์

  2. การซื้อหุ้นแบบเศษหุ้น (Fractional shares)

    หุ้น Amazon 1 หุ้นเต็มอาจมีราคาสูงถึง 3,000 ดอลลาร์ แต่คุณสามารถซื้อในส่วนย่อยมูลค่า 10 ดอลลาร์ได้ ซึ่งเรียกว่าเศษหุ้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณเริ่มลงทุนในหุ้นใหญ่ได้ทันที แม้มีเงินทุนน้อย

  3. โรโบ-แอดไวเซอร์และแอปการลงทุนขนาดเล็ก

    อีกทางเลือกที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีทุนน้อยคือโรโบ-แอดไวเซอร์ (เช่น Betterment) ที่จะช่วยลงทุนให้อัตโนมัติตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณกำหนด ส่วนแอปการลงทุนขนาดเล็ก (เช่น Acorns) จะช่วยให้คุณได้ลงทุนด้วยน้อย ๆ ที่แทบไม่ต่างจากเงินทอนที่มาจากการใช้จ่ายประจำวัน ไม่จำเป็นต้องเลือกหุ้น โดยเฉพาะหากคุณเป็นมือใหม่ เพราะ AI จะทำงานให้คุณ

  4. บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงและเงินฝากประจำ

    ทั้งสองแบบเหมาะกับการเติบโตทางการเงินที่ปลอดภัยและมั่นคง บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ให้ดอกเบี้ยมากกว่าบัญชีปกติและถอนเงินได้ตลอด แต่อัตราดอกเบี้ยอาจเปลี่ยนแปลงได้

    ส่วนเงินฝากประจำ (Fixed Deposits / CDs) จะล็อกเงินในอัตราดอกเบี้ยคงที่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งแม้มันจะช่วยป้องกันการใช้เงินฟุ่มเฟือยได้ แต่มันมีความยืดหยุ่นน้อย ข้อดีคือรู้ล่วงหน้าว่าจะได้กำไรเท่าไร และบัญชีได้รับการคุ้มครองจากธนาคาร จึงมีความเสี่ยงเป็นศูนย์

  5. สกุลเงินดิจิทัล

    อันนี้อาจจะยากนิดนึง มันแทบไม่ต่างจากหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน เนื่องจากราคามีความผันผวนมาก ควรลงทุนเฉพาะเงินที่พร้อมจะสูญเสียและมีเงินสำรองอื่นไว้ด้วย

การเลือกบัญชีลงทุนที่เหมาะสม

มี 3 ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา เป้าหมายการลงทุน (เกษียณ ระยะสั้น ระยะยาว) ความสามารถในการรับความเสี่ยง และผลกระทบทางภาษี

เป้าหมายการลงทุน

  • ใกล้เกษียณแล้วเหรอ? งั้นเลือก 401(k), IRA หรือ Roth IRA เพราะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • กำลังมองหาลงทุนระยะสั้น (1-3 ปี) อยู่เหรอ? ถ้าใช่ บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงหรือเงินฝากประจำเหมาะที่สุดแล้วล่ะ

  • สำหรับผู้ที่กำลังมองการเติบโตระยะยาว ETF, หุ้น และโรโบ-แอดไวเซอร์ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

  • หากเป้าหมายของคุณคือการมีรายได้แบบพาสซีพ หุ้นปันผลและพันธบัตรจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงแก่คุณได้

ความสามารถในการรับความเสี่ยง

คุณสามารถรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน?

  • หากคุณเป็นนักลงทุนที่ชอบความปลอดภัย ลองพิจารณาพันธบัตร บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง เงินฝากประจำ

  • ทางเลือกสำหรับความเสี่ยงระดับปานกลาง ได้แก่ ETF กองทุนรวม โรโบ-แอดไวเซอร์

  • หากคุณเป็นคนที่ชอบความเสี่ยง ลองพิจารณาลงทุนในหุ้นและสกุลเงินดิจิทัลดูสิ

ผลกระทบทางภาษี

รักษาเงินของคุณให้มากขึ้น โดยอย่าละสายตาจากผลกระทบด้านภาษี บัญชีลดหย่อนภาษี (401(k), IRA, Roth IRA) เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการประหยัดภาษี ส่วนบัญชีทั่วไป เช่น บัญชีโบรกเกอร์และสกุลเงินดิจิทัลจะไม่มีประโยชน์ทางภาษี แต่ก็มีความยืดหยุ่นมากกว่า

สรุป

บัญชีลงทุนแต่ละประเภทเหมาะกับเป้าหมาย ความสามารถในการรับความเสี่ยง และความต้องการสภาพคล่องที่แตกต่างกัน เลือกบัญชีให้เหมาะกับตัวเอง เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เริ่มต้นจากเงินน้อย ๆ ลงทุนอย่างชาญฉลาด แล้วความมั่งคั่งของคุณจะเติบโต!

แบ่งปันกับเพื่อน ๆ:

เปิดบัญชี FBS

โดยการลงทะเบียน คุณได้ยอมรับเงื่อนไขของ ข้อตกลงลูกค้า FBS และ นโยบายความเป็นส่วนตัว FBS และยอมรับความเสี่ยงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการซื้อขายในตลาดการเงินระดับโลก